
Photo by Thana-one Yazawa

Photo by Thana-one Yazawa

Photo by Than-one Yazawa














Yodchattinyline / Yodchat Bupasiri / Tinyline / Tinylines / ヨードチャット ブパシリ / ยอดฉัตร บุพศิริ / ยศชาติ บุพการี /



🐣 สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้แวะมานิทรรศการ Happy to be Me ของจิ๋วๆ โรงเรียนอนุบาลเทพารักษ์
🐣 นิทรรศการนี้เป็นผลงานและเรื่องราวของเหล่าจิ๋วเตรียมอนุบาลถึงอนุบาล 3 (2-5 ขวบ) ในช่วงเทอมก่อน ว่าด้วยเรื่องตัวเรา, ครอบครัว, โรงเรียน, ชุมชน, จังหวัดสมุทรปราการ รวมถึงโปรเจคประจำห้องอื่นๆ ที่พวกเขากำลังเรียนรู้
🐣 รอบนิทรรศการเต็มเร็วมาก! และรับผู้ชมจำนวนจำกัดมาก นี่เป็นหนึ่งในผู้ที่ลงทะเบียนทัน แฮปปี้สุด!


🐣 ปกติแล้วอนุบาลเทพารักษ์ไม่ได้เปิดให้คนนอกเข้าไปชม นี่เป็นครั้งแรก และมีคนเดินทางมาจากต่างจังหวัดเพื่อมาดูงานนี้โดยเฉพาะด้วย!
🐣 ตอนเข้างานทุกคนจะได้รับแผนที่ใบเล็กๆ และกระดาษไว้สำหรับสำรวจผลงานเจ้าจิ๋วที่เราประทับใจ แต่ขอบอกว่าเลือกได้ยากมากจริงๆ

🐣 มีแผนผังการเดินในงานให้ เรียงไปจากเด็กเตรียมอนุบาล พี่ๆ อนุบาล 1-3 เรียงเรื่องราวจาก “ฉัน” ไปสู่สิ่งที่ใหญ่กว่าฉัน ทั้งสัตว์ ผู้คน สภาพแวดล้อม แต่ว่าเราไม่สามารถเดินตามที่วางไว้ได้เลยขอเดินมั่ว 555 และขอนำบรรดางานที่ตราตรึงใจมาลงไว้ในที่นี้ เพราะมันช่าง made my day:

🐣 แคปชั่นงานเหล่านี้มีเสียงพุ่งออกมา เหมือนเด็กๆ มานั่งเล่าให้ฟังอยู่ข้างๆ กัน คือหลายทีก็เผลอตอบไปในใจว่า ได้เลยจ้า 😅


🐣 มีบ้านที่ชื่อ “บ้านกระต่ายน้อยน่ากลัว” เวลาขึ้นชั้นบนมีให้เลือกสามทาง คือ แบบปีนทรงตัว แบบขึ้นบันได และแบบปีนเชือก 😆 เป็นบ้านท่ายากจริงๆ
🐣 มีชิ้นนึงรู้สึกมีความไฮกุมาก “เขาสวย เขาพ่นน้ำออกมา” อันนี้ยืนดูอยู่นานมาก คำมันช่างเรียบง่ายและซื่อตรงอะไรอย่างนี้

🐣 “ช้างสีน้ำเงินธรรมดา” ชิ้นนี้ก็รู้เลยว่าจริงๆ ช้างตัวนี้ต้องพิเศษแน่นอน!


🐣 “ฉันในตอนแก่จะเป็นอย่างไร?” โจทย์แบบนี้น่ารักมาก เหล่าจิ๋วต้องจินตนาการถึงตัวเองตอนแก่แล้ววาดออกมา ส่วนใหญ่ก็จะวาดขีดที่หน้าเยอะๆ (คงสังเกตมาจากผู้ใหญ่ที่มีรอยย่นมากมาย)

และแคปชั่นคนนี้คือน่าประทับใจมาก “หนูน่าจะกำลังเลี้ยงน้องที่อ้วนขึ้นเพราะกินนมเยอะ หนูระบายผิวสีนี้ (น้ำตาล) เพราะหนูผิวสีนี้ หนูชอบนะคะ”
เพราะว่าหนูชอบตัวเองหนูจึงได้วาดมันออกมาอย่างซื่อตรง และเอ็นดูมากที่จินตนาการระยะเวลาแก่ของเด็กยังไกลไปถึงแค่ “น้องของเขาที่กำลังโต” ซึ่งเท่านี้ก็น่าทึ่งมากแล้ว คิดดูสิ เด็กๆ เพิ่งอยู่บนโลกมาได้ 2-3 ปีเองนะ

🐣 มีเด็กที่บรรยายตัวเองในภาพที่ตัวเองคอลลาจว่า “ใส่ชุดแบบลายๆ ใส่หัว หัวใส่หมวก เท้าเค้าเอาไว้เดิน มีแมวชื่อมานา จับหางด้วย”

🐣 และมีบางคนก็สร้างสรรค์ชิ้นงานที่พูดถึงคนใกล้ตัว “เฮียอู๋ ไปตัดผมแล้วก็ผมสั้น เฮียอู๋ตัวสูง เพราะว่าเฮียอู๋กินผักตั้งแต่แรกตอนเป็นเบบี๋ ใส่เสื้อทันจิโร่ แล้วรองเท้าเฮียป้าดาวซื้อมาใหม่”
ใครอ่านแล้วยิ้มบ้าง 555 “ใส่หัว” เราเอ็นดูมากตอนน้องบอกว่า “เท้าเค้าเอาไว้เดิน” เพราะผู้ใหญ่ก็จะคิดว่า เท้าก็ต้องเอาไว้เดินน่ะถูกแล้ว แต่เท้าก็เอาไว้บินได้เหมือนกันนะในโลกของจินตนาการ
ส่วนเฮียอู๋… อ่านแล้วอยากรู้จักเฮียอู๋เลย! แล้วดูรองเท้าในภาพสิ ถ้าดูแค่ภาพ มันก็ฟอร์มรองเท้ายึกยือ แต่นี่มันคือรองเท้าที่อยู่ในความทรงจำเด็กเลยนะ ว่าเป็นรองเท้าที่อีกคนซื้อให้อีกคนใส่ มันเป็นรองเท้าที่มีความหมาย
จากประสบการณ์การทำงานกับเด็กมาบ้าง อันนี้คือครูจะไล่จดทุกคำพูดของเด็กที่เล่าเลย จะไม่มีการพยายามปรับให้เป็นรูปประโยคแบบผู้ใหญ่ และมันคือเสน่ห์ เราว่านี่รวมเล่มได้เลย

🐣 อันนี้ตราตรึงใจ! น้องวาดภาพอาชีพในอนาคตเป็นตำรวจ แต่!! “จริงๆ อยากทำอาชีพที่ได้อยู่บ้าน และดูแลลูกตัวเอง ดูแลน้อง บางทีก็ขายโมเดล ใครสั่งก็ไปส่ง เป็นอาชีพอิสระ”
แง คืออยากกระโดดเข้าไปจับมือค้อมคารวะ! ทุกคนนึกออกไหม ก็ผู้ใหญ่ถามมาเนาะ ว่าอยากเป็นอะไร โอเค งั้นตอบให้ผู้ใหญ่ฟังก็ได้ว่าจะเป็นตำรวจ แต่ที่จริงไปกว่านั้นน่ะ คืออาชีพที่เป็นอิสระซึ่งเจ้าตัวก็ยังนิยามมันออกมาไม่ได้และไม่รู้ว่าจะวาดออกมาให้มีรูปร่างหน้าตาแบบไหน คือชอบวิธีการตอบของเด็กมาก คือเด็กพยายามตอบให้คนอื่นเข้าใจ และตอบให้ตัวเองเข้าใจ ✨

🐣 ส่วนอีกอาชีพ Veterinary-สัตวแพทย์ หูย แสดงว่ามีโอกาสได้ฟังจากคนรอบตัว เราว่าคำนี้ยากเลยนะ ทั้งไทยทั้งอังกฤษเลย แต่มันดีมากเลยที่เขาได้รู้ว่า อ๋อ บนโลกนี้มีคำนิยามสำหรับสิ่งที่เขาชอบในตอนนี้ด้วยนะ มันดี

🐣 อย่างนึงที่ชอบในนิทรรศการนี้คือ ไม่รก ใครที่เคยอยู่กับงานประดิษฐ์ของเด็กจะรู้ว่าจัดออกมาย้วยได้ง่ายมาก👀 แต่นี่ไม่เลย คุณครูจัดการพื้นที่ได้เยี่ยมมาก (และพื้นที่ก็เรียกได้ว่างามมาก โปร่งสบาย แสงเข้าได้รอบด้าน เดินเข้าไปแล้วสบายใจ) มีบางจุดที่วางพรมที่มีสีสันเข้ากับงานของเด็กที่แปะอยู่รอบๆ ด้วย (คิดละเอียดมากๆ)
คนจัดอาจตั้งใจหรือรู้ตัวก็แล้วแต่ แต่เราว่ามันเป็นเซนส์ทางศิลปะที่ดีมากเลย

🐣 “ทุกคนคืองานศิลปะในแบบที่ดีที่สุดของตัวเอง” โซนนี้พูดกับคุณผู้ใหญ่ทุกคนที่เข้าไปดูงาน เวลาเราส่องกระจกมองตัวเองเราเห็นอะไร?
🐣 “หนูอยู่ในกระจก หน้าหนูยิ้มมาก แม่หนูถ่ายรูปให้ตอนที่หนูส่องกระจก หนูหล่อมากเลย”

🐣 “ซัมเมอร์หล่อมาก มีตากลมๆ สองข้าง มีปากยิ้มๆ ซัมเมอร์ชอบปากมากเลย”

🐣 กระจกทุกบานของเด็กๆ ยิ้มแฉ่งให้ตัวพวกเขาเองและคนที่มาดู พร้อมส่งพลังตู้มใหญ่เข้ามาในใจของเรา
🐣 ตุ๊กตาไล่ฝนแขวนต่องแต่ง ผีเสื้อและดอกไม้บินว่อนไปมา แมงกะพรุนสีชมพูกำลังนอนหลับ – อันนี้เด็กไม่ได้เขียน เราเขียนเอง 😆 ตรงผีเสื้อ แคปชั่นจากเด็กน้อยคือ “ผีเสื้อกลางวัน สวย” สั้นๆ แต่จับใจเลย



🐣 คุณครูทำโซนเครื่องแขวนน่ารักมาก มีกระจายอยู่ทั่วพื้นที่งาน เดินเข้าไปแล้วเหมือนเอาหัวผลุบเข้าไปในจินตนาการของเด็กๆ
🐣 มีบ้านเท่ๆ หลังหนึ่งชื่อ “บ้านแหลมคม” สร้างสรรค์โดยน้องพุธ คนในบ้านแหลมคมก็มีครอบครัวน้องพุธ กับหมา 2 ตัว ที่สำคัญ “ทุกคนยืนเฉยๆ” ส่วนหมาก็ “กำลังยืนเฉยๆ” เหมือนกัน โห ประทับใจมาก เราทุกคนมีสิทธิยืนเฉยๆ นะ ไม่ต้องมี productivity อยากขอเข้าไปยืนเฉยๆ ด้วยคนในบางวันนะ

ปล.แต่ก็ยังไม่รู้ว่าทำไมชื่อบ้านแหลมคม เขากันคนอื่นเข้ามาหรือเปล่า?

🐣 นี่เลย เจ้าพวกผู้ใหญ่ทั้งหลายจงลองมาทำแบบนี้กันดูบ้าง ตรงนี้คือ “What I Can Do” เด็กๆ ถ่ายทอดสิ่งที่ตัวเองสามารถทำได้ มีรูปที่บอกว่า “I can hide.” ฮื้ออ อีกคนก็น่ารัก บอก I can feed (วาดน้องตัวเล็กๆ ที่นั่งบนเก้าอี้เด็ก) ก็คือช่วยที่บ้านเลี้ยงน้องใช่ไหมลูก เท่มากเลยย

🐣 นี่คืออาณาจักรเห็ด! เส้นๆ คือท่อของมาริโอ้ 😅 มีฝาท่อ มีกระเป๋าของมาริโอ้ มีสายลมสไลเดอร์ มีแดด มีพระอาทิตย์ พระจันทร์ และหนอนตัวยักษ์ – ชั้นอนุบาล 3 ห้องสายรุ้ง
อาณาจักรเห็ดใช้เทคนิค Balloon Printing เมื่อไหร่ที่วาดรูปกันไม่ออก มาลองใช้ลูกโป่งปั๊มๆ สีแบบนี้ก็น่าสนุกดีเหมือนกันนะ


🐣 ไม่อยากเขียนจบเลยแต่ให้เล่าอีกหลายวันก็ยังไม่หมด แอบเสียใจที่เขียนถึงทุกชิ้นงานแบบละเอียดๆ ได้ไม่ไหว แต่อย่างไรก็ตาม Happy to be Me เป็นนิทรรศการของเหล่าจิ๋วๆ ที่ทำให้เราอิ่มเอมเป็นอย่างมาก ดีใจจริงๆ ที่ได้ไปชาร์จพลังที่นี่ ขอบคุณพลังของเด็กๆ ทุกคน ขอบคุณคุณครูทุกท่าน(คุณครูเป็นผู้ฟังที่เก่งมากๆ เลย ฟังสิ่งสำคัญและเรียบเรียง สร้างสรรค์ออกมาเป็นนิทรรศการ ได้เยี่ยมขนาดนี้ จัดเก่งมากๆๆ) ขอบคุณโรงเรียนอนุบาลเทพารักษ์ที่เปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกได้เยี่ยมชม ขอบคุณที่แบ่งปันสิ่งที่ล้ำค่าเหล่านี้กับเรานะคะ หวังว่าปีหน้าจะมีโอกาสเช่นนี้อีกค่ะ 🌞


🐣 เกือบลืมเรื่องสำคัญ! ทุกคนสามารถไปกดฟังเด็กๆ เล่านิทานได้ตาม qr code ในภาพสุดท้ายได้เลย

For more information in English, please visit >> this link <<
.
“ไม่เป็นไร พูดเถอะ อย่ากลัวเลย
เป็นความจริงและมีจริง
ทุกเนื้อถ้อยกระทงความ
ใบไม้ซึ่งค่อยๆ เริ่มไหวกระดิก
สั่นศีรษะมีกิริยา
เบาเกือบไม่ได้ยิน
จะได้รู้เรื่องราวอันน่าประหลาด
ฉงนสนเท่ห์
ตามรอยบรรจบของแผ่นหิน
กังวานหวานเจื้อยและทรงอำนาจ
ความลี้ลับแห่งอนุสรณ์
ผู้ใดจะอยู่ก็ยินดีรับไว้
ผู้ใดจะไปจาก
ถือตะเกียงนำทางไปส่ง”
#TAAIAT
.
.
*หมายเหตุ
ต้นฉบับงาน paper cutting art ในครั้งนี้ ใช้กระดาษ Rives Tradition 120 gram จาก Antalis Thailand สำหรับกระดาษที่ใช้พิมพ์ปกคือ ROYAL SUNDANCE® PAPERS BRILLIANT WHITE LINEN (RSL 181-2)

.
“ตอนที่ได้รับโอกาสให้ทำปกทั้งภาคภาษาไทยและภาษาอังกฤษของแหม่มแอนนา เราคิดว่านี่คือจุดเริ่มของเส้นทางประหลาดที่เชื้อเชิญให้เราแง้มดูภาพประวัติศาสตร์ของไทยคู่ขนานไปกับเหตุการณ์ต่างๆ ในปัจจุบัน มันทำให้เราได้ทบทวนความคิดและจุดยืนของตนเองในประเด็นอ่อนไหวหลายประเด็น บางเรื่องมีคำตอบแน่ชัดให้กับตัวเองแล้ว แต่บางเรื่องก็ยังคงเป็นปริศนาต่อไป”
.
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2560 เราได้รับอีเมลฉบับหนึ่งจาก Shine Publishing ไถ่ถามว่าสนใจอยากทำปกหนังสือ “นิยายรักในราชสำนักฝ่ายใน” ของ Anna Leonowens ฉบับแปลโดยครูอบ ไชยวสุ ไหม “อยากให้คุณปลายรับทำครับ” บรรณาธิการเขียนเช่นนั้น
.
เราตอบกลับไปว่า “ได้อ่านต้นฉบับแล้ว พบว่าเป็นงานที่น่าสนใจจริงๆ” น่าจะตอบไปทำนองนี้และยังขยายด้วยอีกว่าเราไม่น่าจะทำได้ เพราะสไตล์งานไม่น่าจะใช่ เพราะบรรณาธิการมีภาพในหัวค่อนข้างชัดเจนอยู่แล้ว เกรงว่าเราอาจจะทำได้ไม่ตรงกับภาพนั้น (อีกทั้งไม่เคยนับว่าตัวเองเป็นคนออกแบบปก เราชัดเจนว่าเราวาดภาพประกอบเท่านั้น) มีทั้งเรื่องเวลา และเรื่องงบประมาณที่ไม่ตรงกัน สรุปว่าตอนนั้นได้ตอบปฏิเสธไป งานค่อนข้างซีเรียสและไม่แน่ใจว่าจะทำได้ไหว
.

.
หลังจากนั้นเราได้รับอีเมลยาวเหยียดจากบรรณาธิการ เมื่อค่อยๆ อ่าน ก็พบว่าไม่ใช่เพียงแค่ปก “นิยายรักในราชสำนักฝ่ายในเท่านั้น” สำนักพิมพ์ยังมีโครงการที่จะจัดพิมพ์ต้นฉบับภาษาอังกฤษของแหม่มแอนนาอีกด้วย (The English Governess at the Siamese Court & The Romance of the Harem) นี่เป็นโปรเจคใหญ่สำหรับสำนักพิมพ์ สำนักพิมพ์ยินดีที่จะปรับเปลี่ยนเงื่อนไขต่างๆ เดตไลน์จะถูกขยายออกไป งบประมาณจะถูกเพิ่มขึ้นมา (โปรเจคนี้ค่อนข้างสำคัญ ผมยินดีลงทุนเพิ่ม – บรรณาธิการเขียนมาเช่นนี้) เรื่องไอเดียในการทำปกจะค่อยๆ ปรับกันไป ซึ่งส่วนที่ได้ใจและประทับใจเรามากที่สุดคือประโยคท่อนต่อไปนี้
.
“…ใช้เวลา “มองหา” คนออกแบบปกอยู่นาน แล้วก็ไม่ได้ติดต่อใครเลย…จนถึงขณะนี้คุณปลายเป็นคนเดียวที่ผมติดต่อ…ถ้าคุณปลายต้องการแมททีเรียลอะไรจากสำนักพิมพ์ก็บอกมาได้ ผมยินดีให้ข้อมูลเกี่ยวกับสำนักพิมพ์และหนังสือเพื่อให้งานออกมาดีที่สุด…”
.
.

.
หลังจากนั้นเราได้ขอไฟล์ต้นฉบับของ “นิยายรักในราชสำนักฝ่ายใน” ทั้งหมดมาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ ตอนนั้นเองที่ตัดสินใจว่า ภาพที่เราคิดเอาไว้นั้นทำคนเดียวไม่ได้แน่ๆ แบบนี้ต้องใช้มืออาชีพอีกคนมาช่วย โชคดีเหลือเกินที่พี่บัว @COLLAGECANTO ศิลปินนักตัดกระดาษตกลงรับปากทันที ทำให้มั่นใจยิ่งขึ้นในการนำเสนอแนวทางภาพปกกับสำนักพิมพ์ หลังจากการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับแอนนาและครูอบอย่างหนักก็ได้แนวทางการทำปกออกมาและลองนำเสนอสำนักพิมพ์ ปรากฏว่านั่นเป็นการนำเสนอครั้งแรกแล้วผ่านเลย ไม่มีปรับแก้ใดๆ >> อ่านลิงก์บันทึกการทำงาน เล่มนิยายรักฯ ได้ที่ >> https://wp.me/p1GCLr-2CA
.

.
ในระหว่างและภายหลังการทำงานปก “นิยายรักในราชสำนักฝ่ายใน” เนื้อสารของแหม่มแอนนาและวิธีแปลของครูอบ ไชยวสุ มีอะไรที่ชวนฉงน ในตอนนั้นภาพในอดีตของแหม่มแอนนา บรรยากาศบ้านเมืองสมัยที่ครูอบแปลและเผยแพร่งานชุดนี้ ได้มาซ้อนทับเข้ากับยุคสมัยของเราผ่านกระบวนการทำงานชุดหนึ่งที่ชื่อ TAAIAT ของเราเอง จากเริ่มแรกเราแค่ทำปก แต่กลายเป็นว่าเราได้งานชุดใหม่เพิ่มขึ้นมา
.
งานชุดนี้มีชื่อเริ่มแรกว่า “ภาพประกอบของนิยายรักในราชสำนักฝ่ายใน” ภายหลังเราได้ปรับชื่อใหม่ให้เป็น “ They are all Illustrations, aren’t they?” [#TAAIAT] เป็นงานอันเกี่ยวเนื่องกับ “นิยายรักในราชสำนักฝ่ายใน” ฉบับของครูอบ โดยจะผสมผสานเอาภาพและคำเข้าไว้ด้วยกัน [ ณ ตอนนี้ (มีนาคม 2563) ก็ยังคงอยู่ในกระบวนการจัดทำ] หากเราไม่ได้รับทำปกให้กับ Shine Publishing เมื่อสามปีก่อน งานชุดใหม่นี้ก็ไม่มีโอกาสได้เกิดขึ้นมาเลย ขอขอบคุณสำนักพิมพ์มอบโอกาสในการทำงานที่แสนพิเศษนี้ให้โดยอ้อม
.(จากบันทึกที่เราจดไว้)
In the past century, Anna’s text has been reinterpreted in numerous ways by many of scholars, literary essayists, writers, and translators. Jayavasu’s interpretation is one of the most significant Thai historical drive. Reading and crosschecking both Anna’s and Jayavasu’s text during my book cover making process exceedingly affected my perception on interpretation: the correctness of an interpretation is not inherent in text but relies to the external discourse.This awareness has aroused me to reconsider a collage technique which I used in my poems many years ago.Collage has been used as an umbrella term covering the form of collage art by both writers and visual artists for years. Jayavasu’s interpretation is similar to this technique in term of adjusting the original text to create the new one. On the 5th edition, around four years after the death of King Ananda Mahidol, Jayavasu implicitly indicated in his preface that there were intentional mistakes in his translation because of the political situation. He changed the characters names, cut off Leonowens’s preface and the following notes, and distorted numerous sentences on purpose, yet the major structure of Leonowens’s stories were nearly the same and his translation came out beautifully. In my opinion, Jayavasu wisely highlighted Anna’s original text by distorting his translation in details, and this was the way he censored himself under a fluctuation of the political situation at that time.
To develop this idea, I created the collected collage poems “The Illustrations of the Romance of the Harem” by using Jayavasu’s translation (Shine Publishing edition) as my material. I selected words or sentences then cut them out of their contexts, relocated a great deal of morphemes and gave them the new meanings.
#TAAIAT
.
“เราเดินย่ำไปบนเส้นทางเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่มีความจริงแท้ใดเป็นสิ่งใหม่ในปัจจุบัน”
อ่านสยามตามแอนนา (ฉบับแปลไทยจาก The English Governess at the Siamese Court)
หน้า 229 แปลโดย คุณสุภัตรา ภูมิประภาส และคุณสุภิดา แก้วสุขสมบัติ
.

.
ในระหว่างที่การทำงานชุด #TAAIAT ได้ดำเนินต่อไป เราก็ได้ทำปกหนังสือเล่มที่สองไปพร้อมๆ กัน (พ.ศ. 2561 – 2562) นั่นคือปกสำหรับต้นฉบับภาษาอังกฤษที่ชื่อ “The English Governess at the Siamese Court & The Romance of the Harem” ซึ่งเป็นภาพชุดที่ทุกคนได้เห็นอยู่ในขณะนี้ ถ้อยคำและความคิดใน #TAAIAT และกระบวนการคิดปก The English & The Romance ได้เลื่อนไหลเข้าหากันอยู่ตลอดเวลา ถ้อยคำที่ถูกสลับตัดต่อและ elements ของปกที่ถูกปรับเปลี่ยนความหมายเสียใหม่นั้นเป็นวิธีที่คล้ายคลึงกัน
.
สำหรับการทำปก The English & The Romance ครั้งนี้ยังคงใช้เทคนิคและการตีความต่อจากปก นิยายรักในราชสำนักฝ่ายใน ( อ่านที่นี่ ) แต่ที่แตกต่างออกไปคือวิธีการในการเข้าถึงข้อมูลซึ่งสามารถอ้างอิงจากชิ้นงานประวัติศาสตร์ซึ่งจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ในประเทศไทยได้ ไม่ใช่เพียงแค่ข้อมูลแห้งๆ บนหน้ากระดาษอีกต่อไป
.
(ต่อไปนี้จะเป็นภาพเบื้องหลังการทำงานปกจำนวน 18 ภาพซึ่งเราทำร่วมกันกับพี่บัว)
.

.

.

.

.

.

.

.

.
ภาพปกร่างแรกๆ นั้นได้แรงบันดาลใจมาจากบท My Retirement from the Palace ของเรื่อง The English Governess at the Siamese Court ซึ่งบอกเล่าความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจของแอนนาในการใช้ชีวิตและปฏิบัติงานในพระราชวัง มีความหวาดกลัว ความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ และความขัดแย้งระหว่างแอนนาและคิงมงกุฎในหลายๆ ครั้ง แอนนาระบุว่า It was, indeed, a time of terror for us. I felt that my life was in great danger… สายสัมพันธ์ที่เกาะเกี่ยวแอนนาไว้กับชีวิตในพระราชวังค่อยๆ หลุดรุ่ยไปทีละเส้น จนมาถึงจุดที่เธอตัดสินใจไปจากสยาม ภาพปกนี้ต้องการสื่อโมเมนต์นั้นของแอนนา แต่สุดท้ายแล้วลวดลายหลุดรุ่ยของผ้าขาดทำให้ภาพโดยรวมมีความแบนเกินไปไม่มีมิติ ดังนั้นปกจึงถูกปรับเปลี่ยนใหม่อีกครั้ง
.

.

.

.

.
ทดลองทำม็อกอัพดูว่าควรเลือกสันปกสีดำหรือสีขาว
.

.

.

.

.
ต่อไปนี้เป็นบันทึกที่โคว้ตมาจากพี่บัว จะมีความเป็นภาษาพูดสักหน่อย แต่เก็บบรรยากาศได้ครบถ้วนดี
“ขั้นตอนการจัดวาง ถ่ายทำ และปรับแสงปกหนังสือ The English Governess at the Siamese Coust &
The Romance of the Harem ที่เรากับปลายปั้นกันมาตลอดปี 2019 ปลายรับหน้าที่ค้นคว้าและออกแบบ ส่วนเราตัด ถ่าย และปรับแต่งภาพ
งานนี้เป็นเล่มที่สองต่อจาก The Romance of The Harem ฉบับภาษาไทย
หลังจากอะไรๆ ลงตัวเราก็ได้ลงมือทำ
กว่าจะเสร็จก็ป่วยคั่นเวลาไปสองรอบ
ตอนเอาไปถ่ายก็ถือว่าเสร็จแล้วล่ะ แยกย้ายกันไปเตรียมงาน Unknown* กันต่อ
วันที่ได้รับเล่มที่เสร็จสมบูรณ์แล้วก็เลยได้โอกาสเอาเซ็ทนี้มาลง
เป็นตอนที่ก้มๆ เงยๆ จัดๆ คอมโพสกันว่ายังไงดีวะ😆
//คุยกันหลายทีว่า WFH มันเวิร์กถ้าไม่ต้องส่งงานตัดที่โคตรจะบอบบางไปมา
แล้วบ้านก็อยู่กันคนละดาวเลย ส่งทีใจเต้นป้างๆ กลัวพังระหว่างทาง
แต่ก็ทำอย่างนี้มาสองเล่ม ไม่รู้จักเข็ด”
*งาน Unknown Asia คืองาน Art Fair ที่โอซาก้า จัดทุกช่วงเดือนตุลาคมของทุกปี
.

.

.

.

.

.

.

.
การปรับเปลี่ยนปกนั้นมีที่มาที่ไป
สำหรับภาพบนปก The English & The Romance เล่มนี้ แหล่งอ้างอิงสำหรับเรานั้นพิเศษยิ่งไปกว่าเล่ม “นิยายรักในราชสำนักฝ่ายใน” เสียอีก หากใครยังจำได้ ปกนิยายรักฯ มีตัวเอกเป็นงูฉลุลายซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากฉากที่งูขนดทองแดงเลื้อยผ่านโต๊ะนักเรียน ในขณะที่แหม่มแอนนากำลังถวายการสอนพระบรมวงศานุวงศ์ ในขณะที่ปก The English & The Romance นี้ จุดเด่นตกเป็นของลวดลายเถาใบและผลโอ๊คซึ่งเลื้อยคลุมหนังสือไปตลอดทั้งเล่ม

.

.

.
ใบและผลโอ๊คมาจากไหน?
ด้วยความตั้งใจไปชมคอลเล็กชั่นข้าวของทรงคุณค่าต่างๆ ในอดีต ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร เพื่อเก็บข้อมูลมาทำปกหนังสือ และท่ามกลางผ้าสะพักปักไหม สไบกรองทอง และลูกไม้ฉลุลายต่างๆ เราพบว่าพิพิธภัณฑ์ฯ ได้จัดแสดงฉลองพระองค์ของคิงมงกุฎเอาไว้ด้วย
.

.

.

.

.

.
บนฉลองพระองค์แบบตะวันตกนั้นเอง เราสังเกตเห็นการใช้ลวดลายใบและผลโอ๊ค คล้ายกับชุดเสื้อคลุมของชาวตะวันตกที่เคยผ่านตา ( ปักดิ้นทองลงบนผ้าขนสัตว์ มักใช้ในเครื่องแบบทหาร) จึงเกิดเป็นความคิดขึ้นมาว่าน่าจะนำลวดลายนี้มาใช้บนปกด้วย ลูกไม้ชั้นล่างเป็นลวดลายแทนฝั่งแอนนาจากเล่มนิยายรักฯ ในขณะที่ลวดลายชั้นบนเป็นใบและผลโอ๊คแทนบรรยากาศต่างๆ อันเกี่ยวเนื่องกับคิงมงกุฎซึ่งแผ่คลุมชีวิตของแอนนาเอาไว้
.

.

.

.

.
มีความแตกต่างอยู่บ้างระหว่าง“นิยายรักในราชสำนักฝ่ายใน” กับ The English & The Romance
เล่มแรกถูกวางเอาไว้ว่าเป็นเรื่องกึ่งจริงกึ่งแต่ง ในขณะที่เล่มหลังเป็นการรวมต้นฉบับทั้งสองเล่มของแหม่มแอนนา ทั้งบันทึกตอนที่มาใช้ชีวิตเป็นครูในสยาม (The English) และทั้งเรื่องกึ่งจริงกึ่งแต่ง (The Romance/นิยายรักฯ)
สำหรับเล่มนิยายรักฯ ฉบับภาษาไทย เราอาจโฟกัสไปที่ตัวเนื้อเรื่องได้เลย แต่สำหรับเล่ม “The English Governess at the Siamese Court & The Romance of the Harem” นั้นกลายเป็นหนังสือที่รวมชีวิตของแหม่มแอนนา เป็นหนังสือซึ่งเป็นตัวแทนช่วงระยะเวลาที่สำคัญในชีวิตมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ใช่แค่เรื่องกึ่งจริงกึ่งแต่งอีกต่อไป
.

.

.
สิ่งที่แตกต่างไปอีกอย่างในทางเทคนิคคือ ตัว text บนปกค่อนข้างยาว จะทำอย่างไรให้ทั้งหมดอยู่กับลวดลายฉลุได้ไม่รกตา คำตอบมาลงตัวที่วิธีการจัดวางแบบสมมาตร ปกหน้ายก text ไว้ตรงกลาง ปกหลังวาง text ไว้ชิดด้านใดด้านหนึ่ง ลวดลายซ้ายขวาที่ใช้อาจจะไม่ได้สมมาตรแบบเป๊ะมาก ซึ่งเป็นข้อดี เพราะอยากให้มีกลิ่นอายของการทำมืออยู่บนปกให้มากๆ มีองศาและขนาดที่ไม่เท่ากันเล็กน้อย สามารถสร้างความรู้สึกว่านี่คืออะไรที่เป็น organic form ดูมีชีวิตและไม่มีชีวิตไปพร้อมๆ กัน (นึกถึงป้ายหลุมศพภาพนูนต่ำที่มีเถาไม้ปกคลุมอะไรแบบทำนองนั้นด้วย)
.

.
.
มีวรรณกรรมไทยเล่มหนึ่งที่เราอยากกล่าวถึง นั่นคือเรื่อง “จุติ” ของพี่อุทิศ เหมะมูล ปกหลังของ The English และ The Romance ในส่วนที่เป็นตัวอักษรสีแดง อ่านได้ความว่า “Siam had just opened his eyes to a world.” สำหรับเราแล้วคือ ดร.สยาม ในนวนิยายเรื่องนี้ของพี่อุทิศนั่นเอง :
“ลึกเหลือเกิน เหมือนนับเวลาไม่ได้ เราตกลงไปอย่างเชื่องช้า ฟามเร็วที่เรารู้สึกนั้นเท่าเดิม แต่สภาวะที่ตกลงนั้นเหมือนผ่านชั้นหนืดเหนียวของน้ำตาลกวน อากาศนั้นหยุ่นแน่น โอบรัดบีบอัดเคลือบคลุมตัวเราคล้ายถูกห่อด้วยถุงสุญญากาศจนหายใจไม่ออก เราค้างอยู่นานอย่างนั้น ดื้นรนอย่างทุรนทุราย เพื่อให้ตกถึงผืนน้ำเสียที เรายอมเจ็บ เพราะเราเตรียมตัวรู้สึกเจ็บไปแล้วก่อนหน้าเสียด้วยซ้ำ เราดิ้นหนักขึ้นอีกในอากาศที่หนืดข้นเหมือนตังเม เรากรีดร้องเพื่อรวบรวมพละกำลังเฮือกสุดท้าย สะบัดเหวี่ยงอีกครั้ง ในที่สุดเราจึงตื่นจากการตกจากที่สูง…”
ภาค 2 การผจญภัยในโลกสมคบคิดของ ดร.สยาม
“จุติ” หน้า 126-127 , สำนักพิมพ์จุติ พิมพ์รวมเล่มครั้งแรก มีนาคม 2558
เป็นนวนิยายที่ถูกเขียนขึ้นมาอย่างประณีต ผ่านการค้นคว้าข้อมูลอ้างอิงมาอย่างเข้มข้น ทั้งพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี, พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา, ประชุมพงศาวดารภาคที่ 7 ฯลฯ อยากให้ทุกคนลองไปหาอ่านดู แล้วอาจจะเห็นภาพในมุมกว้างมากขึ้นว่าทำไมเราจึงนำหนังสือสองเล่มนี้มาเชื่อมโยงกัน
.

.

.
ข้อดีของปก The English Governess at the Siamese Court & The Romance of the Harem คือเนื่องจากเป็นฉบับภาษาอังกฤษ การจัดการกับตัวอักษรภาษาอังกฤษจึงดูง่ายกว่าเมื่อเทียบกับปก “นิยายรักในราชสำนักฝ่ายใน” ทางสำนักพิมพ์ตัดสินใจว่าจะใช้แบบตัวอักษรที่
ก)ให้กลิ่นอายของความเป็นอังกฤษ (เพราะแหม่มเป็นชาวอังกฤษ แม้จะเกิดและโตที่อินเดียก็ตาม)
และ ข) คือมีบางสิ่งบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับอเมริกา (เพราะหนังสือสำคัญทั้ง 2 เล่มนี้ถูกเขียนขึ้นที่นั่น)
นี่ทำให้ชวนคิดถึงตัวพิมพ์ที่ชื่อ Caslon ซึ่งเป็นตัวพิมพ์ยอดนิยมในอังกฤษช่วงศตวรรษที่ 18 ตัวพิมพ์นี้ได้เดินทางไปสู่อเมริกาในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ซึ่งมันเริ่มเสื่อมความนิยมลง และกลายเป็นว่ามันถูกปรับปรุงและขัดเกลาแบบใหม่โดย type foundry ในอเมริกาจนถูกใช้อย่างแพร่หลายที่นั่น เรื่องราวของฟอนต์ Caslon มีบางอย่างคล้ายกับการเดินทางและชีวิตของแหม่มแอนนา ในแง่ดีไซน์มันเป็นตัวที่มีความสวยงามในการเดินเส้น มี contrast ในตัวเอง และแม้จะเป็นตัวพิมพ์เก่า แต่ยังคงร่วมสมัย
นอกจากนี้ ตัว Caslon ยังถูกนำมาปรับเป็นตราโมโนแกรม AHL บนหัวหนังสือ ซึ่งย่อมาจาก Anna Harriette Leonowens ด้วย
.

.

.

.

.
สำหรับผู้อ่านที่สนใจ The English Governess at the Siamese Court & The Romance of the Harem เล่มนี้ ยังมีหนังสือภาษาไทยอีกจำนวนหนึ่งที่เราอยากจะแนะนำให้อ่านควบคู่กันไป ได้แก่
1. พระจอมเกล้าพยากรณ์
ความย้อนแย้งของ “ดาราศาตร์” กับ “โหราศาสตร์” ในสังคมไทยสมัยใหม่
สิกขา สองคำชุม บรรณาธิการ สำนักพิมพ์ Illuminations Editions ราคาหน้าปก 450 บาท
2. ประวัติศาสตร์ของประวัติศาสตร์
เขียนโดย จอห์น เอช. อาร์โนลด์ แปลโดย ไชยันต์ รัชชกูล
สำนักพิมพ์อ่าน ราคาปก 200 บาท
3. กองเรือหาคู่: จากเมืองฝรั่งขึ้นฝั่งที่อินเดีย
Anne de Courcy เขียน สุภัตรา ภูมิประภาส แปล
สำนักพิมพ์มติชน ราคาปก 390 บาท
4. อ่านสยามตามแอนนา การบ้านและการเมืองในราชสำนักคิงมงกุฎ
แปลจาก The English Governess at the Siamese Court
เขียนโดย Anna Leonowens แปลโดย สุภัตรา ภูมิประภาส และ สุภิดา แก้วสุขสมบัติ
สำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ ราคาปก 360 บาท
.

.
.
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ Shine Publishing เพื่อนๆ พี่ๆ ที่น่ารักหลายท่านซึ่งมีส่วนร่วมช่วยคอมเมนต์ปรับเปลี่ยนปก (และปรับงานชุด #TAAIAT ด้วย) และที่สำคัญที่สุด ขอขอบคุณพี่บัวที่มีส่วนร่วมในการเดินทางอันสำคัญยิ่งครั้งนี้ ระยะเวลาสามปีกว่านี้มีความหมายเหลือเกิน ไม่ใช่เพียงแค่ปก แต่เราคิดอยู่ตลอดว่ากำลังทำซีรีย์งานศิลปะชุดหนึ่งซึ่งเกี่ยวโยงกับประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งของประเทศไทย และหากใครอ่านมาจนถึงบรรทัดนี้เราลุ้นสุดใจให้คุณลิสต์ The English Governess at the Siamese Court & The Romance of the Harem (รวมไปถึง “นิยายรักในราชสำนักฝ่ายใน” ฉบับครูอบ ไชยวสุ) เข้าไว้ในรายการหนังสือชวนอ่าน :))
.

.
ขอจบด้วยภาพเราและพี่บัวที่งาน Unknown Asia, Osaka 2019 หลังจากส่งงานปกเสร็จ : )
ปล. ส่วนงานชุด #TAAIAT นั้น หากมีความคืบหน้าใดๆ จะมาอัพเดตให้ฟังนะคะ
.
.
ข้อมูลและช่องทางการสั่งซื้อหนังสือ
The English Governess At The Siamese Court & The Romance Of The Harem
ผู้เขียน: Anna Harriette Leonowens
สำนักพิมพ์: ไชน์ (Shine Publishing House)
จำนวนหน้า: 672 หน้า ปกอ่อน
พิมพ์ครั้งที่ 1 — มกราคม 2563
ISBN: 9786167939148
ราคา 969 บาท (มีส่วนลดในบางเวปไซต์)
.

.
Fathom Bookspace :
Readery : https://readery.co/9786167939148
เคล็ดไทย : คลิกเพื่อไปยังเวปไซต์เคล็ดไทย
***; ) ***
[Eng / 日本語 / ไทย] *This collection was firstly presented in Unknown Asia Art Exchange, 25-27th October 2019, Osaka, Japan.
My Aurora Project 1 >>link
.
“Aurora” is the Latin word for “dawn”, and also refers to the goddess of dawn “Eos” in Greek mythology. For me, the boundary between day and night is blurred, it is the overlapping moment where various shades of light altogether show multiple colors in the sky.

「アウローラ」はラテン語で夜明けという意味で、ローマ神話の夜明けの女神の名にも なっています。私にとっての夜明けとは光と空の色が重なりながら変化していく昼と夜の境界を指します。
.
“Aurora” เป็นคำในภาษาละตินแปลว่ารุ่งอรุณ และยังเป็นชื่อเดียวกันกับ Eos เทพีแห่งรุ่งอรุณในตำนานเทพปกรณัมกรีก สำหรับฉันมันหมายถึงช่วงรอยต่อระหว่างกลางวันกับกลางคืน ที่แสงและสีของท้องฟ้ามีความแปรเปลี่ยนและเหลื่อมซ้อนกัน

“Aurora” also refers to my muse, a fresh and shining little girl who makes me impressed by her charming childish cleverness.
.
「アウローラ」はこのセットの作品のミューズである小さな女の子の名前という意味合いも兼ねています。その子は子供ながらの快活さと賢さを代表するような存在でいつも私の心を動かしています。
.
“ออโรร่า” ยังหมายถึงชื่อของเด็กหญิงเล็กๆ คนหนึ่งซึ่งเป็น muse ให้แก่การทำงานชุดนี้
เธอเป็นตัวแทนของความสดใสและความเฉลียวฉลาดแบบเด็กๆ ซึ่งมักทำให้ฉันประทับใจอยู่เสมอ

Not only Aurora, in the past couple years I am interested in observing other children’ movement. Their fast growth amuses me in a particular way and becomes the source of my inspiration to collect those unforgettable memories in the format of art which has no concrete interpretation.
.
私は、アウローラの女の子のみならず、この2-3年数人の小さな子供の動きに興味を持って観察してきました。その子らの成長のスピードに不思議な気分にさせられました。それがきっかけとなって、その面白い時期を記録したいと思うようになりました。その記録は解釈が自由な絵にしようと思っていました。
.
ไม่เพียงแค่เด็กหญิงออโรร่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาฉันมีความสนใจเฝ้าสังเกตการเคลื่อนไหวของเด็กเล็กอีกหลายคน ความเติบโตอย่างรวดเร็วของพวกเขาทำให้ฉันอัศจรรย์ใจ นี่เป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ฉันอยากบันทึกช่วงเวลาอันน่าสนใจเหล่านั้นเอาไว้ โดยการบันทึกนี้ฉันตั้งใจจะให้เป็นภาพที่เปิดกว้างต่อการตีความ

.
For my first collection of “Aurora”, I intentionally draw the captured moments of hand activities. They are not sign language yet the continual movement from the same or different situations. I cut them off from the contexts, rearranged the sequences. By turns they came out in resemblance to the short poems, offering diverse interpretations related to the readers (viewers) experiences. A shy-mannered hand could be reinterpreted as an introspective one, and an uncertain-like hand could be reinterpreted as the determination. These ambiguous yet open-for-interpretation drawings are displayed through monoprint process which the light and multilayer surfaces of colored pencils and oil colors referring to the sky at dawn.

アウローラ絵セットの第一弾として、手話とは異なったこれらの手の一瞬の動きを表現しています。同じ状況又は異なる状況での手の動きのつなぎ目を描写している絵です。その状況を抜きにして手の動きを並べ替えると結果として短い詩のように読者(絵の鑑賞者)の経験に基づいて幾分にも解釈できます。恥ずかしそうな様子の手もある人によっては物ふけっているように、迷っている手もある人によっては何かに集中しているように、見る人によって新しい解釈が生まれるかもしれません。この曖昧な動きでありながら解釈が自由な絵達は、太陽が昇る前の空に彩られた様々な色の薄く淡い光のように、色鉛筆と油絵の具の色の層が薄く重なっている表面に線画を転写するというモノプリントの手法で出来ています。このセットの作品を短く定義するならば、私は「夜明けの手」と呼ぶでしょう。

สำหรับภาพออโรร่าในชุดแรกนี้ ฉันมุ่งนำเสนอภาพ moment ของมือ ซึ่งไม่ใช่ภาษามือ (sign
language) แต่เป็นภาพช่วงรอยต่อระหว่างท่าทางของมือซึ่งเคลื่อนไหวอยู่ในสถานการณ์เดียวกันหรือต่างกัน เมื่อตัดบริบทออกไป แล้วนำท่าทางของมือมาเรียบเรียงใหม่ ก็ได้ผลคล้ายกับบทกวีขนาดสั้นที่อาจตีความหมายให้เป็นไปได้หลายๆ อย่างตามแต่ประสบการณ์ของผู้อ่าน(ผู้ชมภาพ) มือที่เขินอายอาจจะกลับกลายเป็นมือที่กำลังครุ่นคิด มือที่ลังเลก็อาจถูกตีความใหม่ว่าเป็นมือที่กำลังมุ่งมั่นทำอะไรบางอย่าง โดยภาพท่าทางที่คลุมเครือแต่เปิดกว้างต่อการตีความเหล่านี้ได้ถูกประทับเป็นร่องรอยลายเส้นผ่านกระบวนการพิมพ์ monoprint ลงบนพื้นผิวที่มีการทับซ้อนกันของชั้นสีไม้และสีน้ำมันอย่างเบาบาง คล้ายแสงอ่อนจางหลากสีสันบนท้องฟ้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้น

I would like to give the unofficial name to this first collection of Aurora as “The Hands of Dawn”. หากให้นิยามงานชุดนี้สั้นๆ ฉันคงจะเรียกมันว่า มือแห่งรุ่งอรุณ


.
.
.
.
.
Unknown Asia Art Exchange Osaka 2019







(1) Technique
เวิร์กชอปการสร้าง texture จากเทคนิคผสมที่เราเคยจัดมา ไม่ว่าจะเป็นสีน้ำ สีน้ำมัน หรือสีอะคริลิก ส่วนใหญ่แล้วมีหลักง่ายๆ ร่วมกันคือเป็นกระบวนการพิมพ์แบบโมโนไทป์ แม่พิมพ์ที่ใช้มักเป็นแม่พิมพ์กระดาษ หรือวัตถุที่มีความเรียบและมัน เช่นแผ่นพลาสติก พื้นผิวที่ได้จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับลักษณะกระดาษที่ใช้พิมพ์ ร่องรอยการขูดขีดและทีแปรงที่เกิดขึ้นบนแม่พิมพ์นั้นๆ

.

.

.

เราสามารถสร้างพื้นผิวจากการพิมพ์โมโนไทป์ได้แบบไม่รู้จบจากแม่พิมพ์อันก่อนหน้า ผลลัพธ์มีทั้งคาดเดาได้และไม่ได้ ทำให้การพิมพ์แบบนี้เป็นเรื่องสนุก

.

.

.

.

.

.

(2) Stories
เรื่องเล่าจาก textures เหล่านี้เป็นเรื่องอะไรได้บ้าง

.

.

.

.

คำตอบก็คือ เป็นอะไรก็ได้! เราสามารถใช้พื้นผิวที่แตกต่างกัน นำมาเรียงร้อยเชื่อมโยงให้เป็นเรื่องเดียวกันได้ ความเข้ากันอยู่ที่จังหวะการวางความต่อเนื่องของภาพ
“เธอรออยู่ตรงนี้ รอเพื่อนผู้หญิงบ้าง รอเพื่อนที่ทำงานบ้าง รอรถไฟบ้าง รอให้ถึงตอนเย็นบ้าง เธอเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง หากมีใครสักคนเอ่ยถามเธอ เธอจะกลายเป็นสาวเต็มตัว
ภรรยาของเขามักขวัญอ่อนอยู่เสมอเวลาเขาพูดอะไร… จะให้เธอพูดอะไรดี พอเธอไม่พูด เขามักอารมณ์เสีย
อาเดเลอยู่คนเดียวมาตลอด เคยติดเหาตอนเป็นเด็กนักเรียน อาเดเลอายุเจ็ดสิบสอง อาเดเลคิดเลขให้ใจเก่ง เพื่อนร่วมชั้นเรียนตายไปแล้วหลายคน ล่าสุดก็เวโลนิกา ส่วนคนอื่นๆ ไม่ค่อยได้เจอกัน”
จาก มิสซิสบลูมอยากรู้จักคนส่งนม
แปลจากรวมเรื่องสั้นของ เพเตอร์ บิคเซล ที่ชื่อ “Eigentlich moechte Frau Blum den Milchmann Kennenlernen” โดย ชลิต ดุรงค์พันธุ์
แพรวสำนักพิมพ์
และนี่คือภาพที่ได้จากผู้เข้าร่วมเวิร์กชอปในครั้งนี้หลังจากลองอ่าน text ด้านบน และจินตนาการถึงตัวละครของตัวเอง : >

.

.

.

.

.

(3) Sharing
ในการรับเชิญไปเป็น guest speaker หรือทำเวิร์กชอปต่างๆ ตลอดช่วงที่ผ่านมา สิ่งหนึ่งที่เรารักคือการได้เห็นผู้เข้าร่วมเวิร์กชอปรู้สึกสนุกกับการเรียนรู้ เมื่อได้รับฟีดแบคกลับมาว่าเพลินกับการทำ texture จนลืมเวลาไปเลยนั้นเป็นสิ่งที่เราดีใจมากๆ เราคิดว่าเทคนิคเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทุกคนทำได้และทำให้ขอบเขตการทำงานสร้างสรรค์ได้ขยายออกไปโดยไม่ถูกจำกัดอยู่กับความกังวลที่ว่า ผลงานเหล่านี้จะดีพอไหม เพราะงานพิมพ์ทุกชิ้นนั้นดีพอเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะนำมันมาใช้ประกอบร่างเป็นสิ่งใหม่ได้อย่างไรบ้าง และนี่คือภาพย้อนหลังบางส่วนของเวิร์กชอปที่เรานำมาแบ่งปันกันนะคะ ; >

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

*** ;> ***
The Sleepness Kingdom (อาณาจักรยังไม่ตื่น) was published by Volcano Cries, a small and independent Thai publishing house based in Bangkok, on 2018. The author is Tossapol Boonsinsukh (Tossapol B.), a former filmmaker, and a member of the coconut cream music band. The book has 57 pages and it was written in the structure of Choose Your Own Adventure Book Series. It’s a gamebook that allows the reader to participate in the story by making choices. But actually, for this book, it has no choices.
.
วาดภาพประกอบให้กับหนังสือเล่มเล็กของ Volcano Cries เขียนโดยคุณป๊อก ทศพล บุญสินสุข (Tossapol B.) หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า “อาณาจักรยังไม่ตื่น” ภายใน 57 หน้านี้เป็นเรื่องราวที่คุณจะต้องเลือกเส้นทางต่างๆ ด้วยตัวเอง ผ่านพื้นไม้อุณหภูมิเย็นเฉียบ ป่าเขตหนาว มอสส์และรา ถนนหนทางคดเคี้ยว เมืองโบราณที่เงียบเหงา ทะเลสาบสีเขียวเข้ม ม่านฝน คุณจะตัดสินใจอย่างไร คุณจะเลือกเดินไปทางไหน อยากให้ไปลองซื้อหาอ่าน(และเดินทาง)กันดูค่ะ
หนังสือราคา 150 บาท วางจำหน่ายที่ Fathom bookspace , Candide Books (ร้านหนังสือก็องดิด) , ช่างชุ่ย ChangChui , Happening Shop ที่ BACC

My job was to create one A3 size illustration for this book. It would be published as a kind of a poster seperated from a book. When it comes to a gamebook, I have to play, of course!
.
I started with a huge map that created from my chosen pages. I drew a house, a forest, a tower, a square, a blue lake and a green one, many of cages, and a great wall. It was fun to take an adventure through this book but it was sad a little bit at the same time because the ways stories end. As I told you before, it had no choices. : (
.

.

.

.

.

.

.

.

*** : > ***
( For English please scroll down )
The Colours of Sacred เป็นนิทรรศการที่จัดขึ้นทุกสองปีโดยพิพิธภัณฑ์ดิโอเซซาน เมืองปาดัว ประเทศอิตาลี จัดต่อเนื่องกันมา 15 ปีแล้ว นิทรรศการนี้จะเน้นแสดงความหลากหลายทางวัฒนธรรมผ่านมุมมองของนักวาดภาพประกอบที่มีต่อหัวข้อต่างๆ ซึ่งหัวข้อนั้นก็จะเปลี่ยนไปทุกครั้งที่จัด เช่น การท่องเที่ยว วัฒนธรรมการรับประทานอาหาร และในปีล่าสุดนี้ก็เป็นหัวข้อเกี่ยวกับร่างกาย
ทางนิทรรศการจะส่งจดหมายเชิญให้นักวาดภาพประกอบที่สนใจได้ทราบรายละเอียด ที่น่ารักคือ ทางทีมงานจะอธิบายหัวข้อนั้นๆ ไว้อย่างครบถ้วนและส่งเสริมให้นักวาดภาพประกอบแต่ละคนตีความออกมาเป็นภาพวาดในแบบฉบับของตัวเอง นักวาดภาพประกอบที่เคยส่งงานเข้าร่วมแสดงจะมาจากหลากหลายประเทศค่ะ ทั้งยุโรป เอเชีย และอเมริกาใต้ สำหรับใครที่สนใจส่งบ้างในอีกสองปีข้างหน้า เราแนะนำให้คอยติดตามเวปไซต์ของ The Colours of Sacred ไว้นะคะ (มีรายละเอียดอยู่ด้านล่างโพสต์)
กรรมการที่คัดเลือกภาพให้ร่วมแสดงในปีนี้มีทั้งหมด 8 ท่านด้วยกัน สองท่านจากในนั้นมีคุณเปาโล แคนตัน จากสำนักพิมพ์คุณภาพของมิลานที่มีชื่อน่ารักว่า “หนูช่างเพนท์” และ คุณ ซิลเวีย เบลโล นักวาดภาพประกอบชาวฝรั่งเศส
.

.
‘The Colours of the Sacred’ is the biennial international illustration exhibition organized by Diocesan Museum of Padua, Italy. It promotes the different aspects of culture from illustrators around the world.
It had many different themes in past 15 years: the colours of the sacred, the creation, water, from fire to light, land, air, travel, around the table. And the lastest one is ‘The Body’ or ‘Il corpo’ in Italian.
“Self-awareness is exactly the opening theme of the ninth edition of The Colors of the Sacred. Through its pictures, the exhibition aims at narrating the human body and its central role in life, starting from the simplest experiences of self-awareness, and exploring the possible approaches to otherness – and in particular such aspects as changes and the experience of limits – and to the infinity we all from part of.” – Andrea Nante, Diocesan Museum of Padua, il corpo exhibition catalogue, page 35
.

.
แล้วหัวข้อ “ร่างกาย” ที่เราได้รับมานั้น เราจะมองหรือตีความมันได้อย่างไรได้บ้าง? ทางผู้จัดเขายกตัวอย่างมาหลายแง่มุมค่ะ เช่นว่า เด็กๆ รับรู้ว่าเขาเป็นตัวเขาเองผ่านร่างกาย ตา จมูก ปาก แขน และขา หัวใจที่เต้น-เขามีร่างกายที่เคลื่อนไหวได้ รับรู้อารมณ์ความรู้สึกได้ “ฉันนี้ไม่สามารถแยกจากร่างกายได้” เด็กๆ ใช้ร่างกายของเขาทำหลายสิ่งหลายอย่าง ร่างกายคือตัวตนของเขา
ร่ายกายจะไม่อยู่คงที่ สรีระของทั้งเด็กหญิงและชายจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดและน่าตื่นเต้นไปพร้อมๆ กัน เด็กๆ จะเติบโตขึ้นพร้อมกับมุมมองต่อโลกที่แตกต่างไปจากเดิม เด็กๆ จะค่อยๆ สร้างตัวตนผ่านมุมมองที่พวกเขามีต่อตัวเอง และผ่านมุมมองที่คนอื่นมีต่อพวกเขาเองด้วย
ในระหว่างกระบวนการนี้ มีร่างกายของใครหลายๆ คนที่ไม่ได้รับการยอมรับ ถูกปฏิเสธ ถูกละเลย หรือแม้กระทั่งถูกกำจัดทิ้ง เพียงเพราะว่าร่างกายของพวกเขานั้นไม่สมบูรณ์พร้อมตามมาตรฐานความสวยงามของสังคม ร่างกายนั้นแข็งแกร่งมาก แต่ในขณะเดียวกันก็ช่างแสนเปราะบาง
นักวาดแต่ละคนก็จะตีความออกมาเป็นภาพแตกต่างกันไป ลองดูตัวอย่างจากภาพข้างล่างนี้ก็จะเห็นไอเดียน่ารักๆ เต็มไปหมดค่ะ อย่างสมองที่เป็นบอลลูนสามารถพาเราล่องลอยไปไหนต่อไหนได้ หรือหัวใจที่กลายเป็นโลกใต้น้ำ เป็นต้น
.

.
Every two year, I’ll receive an invitation email about a new theme of the exhibition from ‘The Colours of the Sacred’. It is well-explained in details; very professional. This year the selection committees were Sylvie Bello, Giorgio Bezze, Corrado Bosi, Paolo Canton, Marnie Compagnaro, Andrea Nante, Antonio Panzuto, and Vania Trolese.
“We ask the illustrators who would like to participate to deal with this theme considering also the different approaches of various cultures with regard to the body, the models offered by the society they live in, the relation with diversity and disability, the role of the body in rites and religious traditions.” – ‘The Colours of the Sacred’ 2018
.

.

.
ภาพที่เราวาดและได้รับเลือกคือภาพเด็กผู้หญิงตัวเล็กกับคุณแม่ค่ะ ภาพมีชื่อว่า “ผิวคุณแม่นุ่มจังเลย” และ “เธอเหมือนฉันเลยนะ” โดยคุณ Andrea Nante ได้เขียนถึงสองภาพนี้ไว้ในสูจิบัตร il corpo ว่า
“Our body is “me and you”, and this relational dynamics is primarily originated in the mother-child relationship, well represented in our exhibition thanks to Yodchat Bupasiri’s effective monochromatic illustrations.” – il corpo exhibition catalogue page 36
เพราะเด็กรู้จักตัวเองก่อน จึงเปรียบเทียบความคล้ายและความต่างของตัวเองกับตุ๊กตาที่ถืออยู่ได้ และในขณะเดียวกันเด็กก็เริ่มรู้จักผู้อื่นด้วยการเรียนรู้จากบุคคลใกล้ตัว นั่นคือคุณแม่ของเธอนั่นเอง ( สามารถดูขั้นตอนการทำงานได้ที่ลิงก์นี้นะคะ )
Here are my selected illustrations:
.

.

.


.
ภาพงานของเรายังได้ลงโปรโมทในนิตยสาร messaggero dei ragazzi อีกด้วย
There were many articles about this exhibition and I also found my illustration on
messaggero dei ragazzi Feburary issue:

.
The most exciting part for me in this exhibition was my works were selected to reproduce into low relief sculpture together with works of other 6 illustrators. It was a part of project for people with physical disabilities. It’s wonderful to know that the exhibitors have expanded the accessibility of illustrations – not only via seeing, but listening and touching too.
The lady in this photo is Sabrina Baldin. She was invited by Museo Diocesano di Padova to test this section of exhibition. She couldn’t see but she could touch these low relief sculptures and listen to the voice that describe about my works.
.

.
ทางนิทรรศการได้เลือกงานของศิลปินมา 7 คน (จากชิ้นงานทั้งหมดที่จัดแสดง 76 ภาพ /ศิลปิน 45 คน) มาร่วมโปรเจคแปลงงานศิลปะให้สามารถเข้าถึงได้สำหรับผู้บกพร่องทางการมองเห็นและได้ยิน งานสองชิ้นของเราได้รับคัดเลือกค่ะ
ภาพได้ถูกขยายและแปลงเป็นงานประติมากรรมนูนต่ำ สีของงานนั้นคงสีเดิมจากภาพสองมิติไว้ทั้งหมด อันนี้น่าทึ่งมาก ดูจากภาพนี้เรายังคิดว่าเป็นภาพปริ้นท์ธรรมดาอยู่เลย แต่จริงๆ ไม่ใช่ นอกจากนี้ยังมีไฟล์เสียงคำบรรยายภาพและนิทรรศการเตรียมไว้พร้อมอีกด้วยค่ะ
ในภาพนี้คือคุณ Sabrina Baldin กำลังสัมผัสชิ้นงานของเราค่ะ เธอเขียนบันทึกเล่าว่า เธอเป็นผู้บกพร่องทางการมองเห็นคนแรกที่ทาง Museo Diocesano di Padova เชิญให้ไปทดสอบนิทรรศการ เธอบอกว่าผลมันเยี่ยมมาก เธอขอบคุณทางพิพิธภัณฑ์สำหรับความคิดริเริ่มอันสวยงามนี้ การเข้าถึงวัฒนธรรมควรเป็นสิทธิของทุกคน และเธอหวังว่านี่จะเป็นจุดเริ่มต้นและเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเรื่องอื่นๆ ต่อไป
.

.
” lo, il mio corpo e l’altro ” or ” Me, My Body and the Other ” is the caption on the right side of sculpture:
We are alone in this world, and each time we enter into relation with somebody we reveal a part of ourselves. We construct our identities through the direct perception of ourselves, but also through the perception that others have of us. A relation of inter-subjectivity is established: my body, which allows me to encounter the other, in a certain sense “does not exist” if I do not encounter the other. – il corpo exhibition,2018
There was a sensorial itinerary for blind and deaf-mute people. The audiences could use an application with QR code and listen to the description of each illustration , they could touch the 3D panel, look the Sign Language performed by this woman:
.

.
ภาพข้างล่างนี้เป็นสูจิบัตร ถุงผ้า และโปสการ์ดที่ทางมิวเซียมส่งมาให้ค่ะ น่ารักมากๆ
.

.

.

.

.
.
.
วกกลับมาที่บรรยากาศนิทรรศการอีกครั้ง
ที่งานจะมีกลุ่มเด็กจากโรงเรียนต่างๆ เข้ามาเยี่ยมชมและทำกิจกรรมกันอยู่เรื่อยๆ ทางพิพิธภัณฑ์ก็จะมีบริการนำชมด้วยค่ะ
.


.
และนอกจากการทำเวิร์กช็อปศิลปะแล้ว ระหว่างนิทรรศการนี้ยังมีการฉายหนัง การเต้นร่วมสมัย และการแสดงดนตรีซึ่งมีความเกี่ยวเนี่องกับหัวข้อ “ร่างกาย” อีกด้วยค่ะ มีการแสดงหนึ่งที่เราโชคดีมากที่ได้ชม เพราะพวกเขาบินมาแสดงที่กรุงเทพฯ เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา (ในวาระ 150 ปีครบรอบความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและอิตาลี) นั่นคือการเต้นร่วมสมัยที่ชื่อว่า “การโจมตีของขนมปัง” โดยคณะ E.sperimenti Dance company ค่ะ
.
Contemporary Dance: Bread attacks or ‘Attacchi di pane’
There were many performances and activities during this exhibition period related to ‘il corpo’ theme, for example, a movie screening about the paralympic swimmer champion name Francesco Bettella, dance accompanied with piano “10 + 1 PIANO ETUDES” by Bernardino Beggio and Elena Friso (directed by Laura Pulin), and a contemporary dance ‘Attacchi di pane’.
.

.
การแสดงที่ไทยอาจจะต่างกับที่ปาดัวอยู่บ้างคือ ของเขาจะแสดงกลางแจ้งกันเลย เด็กๆ ก็นั่งชมที่พื้นตามสบายอย่างในภาพข้างบน ส่วนการแสดงที่ไทย จะแสดงที่ศูนย์วัฒนธรรมฯ ในโรงเล็กค่ะ (ภาพล่าง)
สำหรับเราแล้ว ขนมปังที่เป็นตัวพระเอกหลักนั้นเป็นตัวแทนของความหวัง ความฝัน ความปรารถนาต่างๆ ที่คนๆ หนึ่งจะไปได้ถึง แต่ว่าแต่ละคนนั้นก็มีขอบเขตข้อจำกัดของตัวเอง (เก้าอี้ที่พวกเขานั่งอยู่) ทุกๆ ครั้งที่ใครคนใดคนหนึ่งพยายามลุกออกไปจากเก้าอี้ ก็จะถูกคนอื่นๆ ห้ามเสมอๆ
การดิ้นรนของนักเต้นที่จะเข้าใกล้ขนมปังแต่ก็ต้องผิดหวังอยู่ร่ำไปนี้ ในหลายๆ พาร์ทก็ทำให้เรารู้สึกเบื่ออยู่เหมือนกัน เพราะมันช่างซ้ำเหลือเกิน เหมือนเราถูกบังคับให้ดู Sisyphus กลิ้งหิน แต่ฉากจบของการแสดงนี้ก็ทำให้เรากระจ่างว่าความน่าเบื่อหน่ายนั้นได้ถูกสร้างมาอย่างพอเหมาะพอดีแล้ว
องค์ประกอบของฉากจบนั้นได้มาจากภาพวาด The last supper ของ เลโอนาร์โด ดาร์ วินชี โดยพระคริสธรรมได้ระบุไว้ดังนี้ : “เทศกาลกินขนมปังไม่มีเชื้อที่เรียกว่าปัศคามาใกล้แล้ว พวกปุโรหิตใหญ่กับพวกอาลักษณ์จะฆ่าพระองค์ก็ต้องแสวงหาช่อง เพราะพวกเขากลัวพวกราษฎร
เมื่อถึงเวลา พระองค์ทรงนั่งโต๊ะพร้อมด้วยอัครสาวก พระองค์ตรัสแก่เขาว่า “เรามีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะกินปัศคานี้กับพวกท่านก่อนเราจะต้องทนทุกข์ทรมาน ด้วยเราบอกท่านทั้งหลายว่า เราจะไม่กินปัศคานี้ต่อไปจนกว่าจะสำเร็จความหมายของปัศคานั้นในแผ่นดินของพระเจ้า” พระองค์ทรงหยิบจอกขอบพระคุณแล้วตรัสว่า “จงรับจอกนี้แบ่งกันกิน เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า เราจะไม่กินน้ำองุ่นนี้อีกต่อไปจนกว่าแผ่นดินของพระเจ้าจะมาตั้งอยู่แล้ว” พระองค์จึงหยิบขนมปังขอบคุณและหักส่งให้แก่เขาทั้งหลาย ตรัสว่า “นี่แหละเป็นกายของเรา (ซึ่งได้ประทานให้สำหรับท่านทั้งหลาย จงกระทำอย่างนี้ให้เป็นที่ระลึกถึงเรา)” “
การแสดงนี้มีความเฉพาะเจาะจงแต่ในขณะเดียวกันก็มีความเป็นสากล อย่างที่ทางผู้จัดได้บอกไว้ว่า ธีมหลักคือเรื่องมนุษย์ในสังคมนี่เอง Man is hungry of something that he can never achieve alone. ที่จริงถ้าหากตัดเรื่องจุดอ้างอิงทางศาสนาออกไป โดยรวมแล้วการแสดงนี้ก็ยังมีเนื้อหาที่หลายคนน่าจะเข้าถึงและรู้สึกร่วมไปด้วยได้(เช่น ในเรื่องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม) ไม่ว่าจะเป็นชาติไหนหรือว่ามีความเชื่อไหนก็ตาม ต้องชมนักออกแบบท่าเต้น คุณ Federica Garlimberti ค่ะ
.

.
‘Attacchi di pane’ was performed on May 5, 2018 at Arti Inferiori – MPX Padova , and after that they came to perform in Thailand on May 29, 2018 on the occasion of cerebrating 150th anniversary of the diplomatic relations Between Italy and Thailand.
“This is a show that brings on stage ironically an ancient theme, but very current: mankind in society. The audience will be involved in a path where fears and weakness, particularly the human ego exaltation, will come on stage. BREAD, the metaphorical character of the show, is the “mere” answer to vacuum that any individual tries to fill with his aspirations and daily fears, which are overcome only if he gets “into the group”, the “society”, where he can be recognized. Man is hungry of something that he can never achieve alone.” – An explanation from Italian Festival Thailand
.

.
It was, too, about self-awareness; all dancers tried to achieve something from where they stood; they had their own chairs; they had their bodies. The bread was there, in front of them. Their bodies moved back and forth (you can see the VDO clip via this link ), trying to avoid social sanctions.
Attacchi di pane was performed in Jarkata on December 6, 2017 and there was an interesting article about it on Listen to the World website:
Serrano Sianturi (Chairman of Sacred Bridge Foundation) takes a deeper look on the bread scene. He suggests that the bread scene may be the representation of “break a bread”, a term stemmed from Christian culture in Europe. The depiction of “break a bread” can be found in John 6:1-14, in which Jesus shared five pieces of bread and two pieces of fish to 5,000 hungry people. But, the most famous depiction of this term can be found in the Last Supper, in which Jesus breaks and shares the bread to the Apostles on the eve of his crucifixion and says, “This is my body given to you.” With this story, bread can be seen as the symbol of love, friendship, solidarity, peace, and reconciliation.
.

.
ตอนท้ายการแสดง ผู้ชมทุกคนได้รับเชิญให้มาชิมขนมปังด้วยนะคะ ก้อนใหญ่มาก : D
What I loved was the composition in the last scene which was borrowed from Leonardo da Vinci’s The Last Supper; one who didn’t know about where this scene came from could still enjoy the show; one who knew, me for example, would laugh out loud for the brilliance of the choreographer, Federica Garlimberti.
Many elements in this performance relates to history of religious beliefs, yet it is opens to any possibility of interpretations.
.

.
And this is the only one performance from many interesting events happened during the ‘il corpo’ exhibition period.
.

.
.
.
.
Here are the list of the selected Illustrator for ‘il corpo’ exhibition
Abdollahi Mitra – Iran
Agostini Terry – Italy
Alcantara Pedraza Mariana – Mexico
Andriy Romana (Romana Romanyshyn and Andriy Lesiv) – Ukraine
Appel Federico – Italy
Aresti Maria Chiara – Italy
Baladan Alicia – Uruguay
Bardaee Sahar – Iran
Bello Sylvie – France
Benfatto Elisabetta – Italy
Bossù Rossana – Italy
Bupasiri Yodchat – Thailand
Cancilleri Alain – Italy
Carmisciano Isabella – Italy
Castagnoli Anna – Italy
Concejo Joanna – Poland
Cormand Bernat – Spain
De Cristofaro Alessandra – Italy
Diella Daniele – Italy
Facchini Vittoria – Italy
Iannaccone Letizia – Italy
Jarrie Martin – France
Lozano Luciano – Spain
Macchia Maria Sole – Italy
Malgarise Valentina – Italy
Manna Giovanni – Italy
Marcolin Marina – Italy
Mattotti Lorenzo – Italy
Migliorisi Lilia – Italy
Panini Arianna – Italy
Pacheco Gabriel – Mexico
Rea Simone – Italy
Rossato Michelangelo – Italy
Scuderi Lucia – Italy
Stefanini Sara – Italy
Stangl Katrin – Germany
Talentino Elisa – Italy
Tieni Daniela – Italy
Tonelli Anais – Italy
Urberuaga Emilio – Spain
Vairo Arianna – Italy
Ventura Ana – Portugal
Vignaga Francesca Dafne – Italy
Zabala Javier – Spain
Zaccaria Silvia – Italy
.
.
THE DATES OF THE EXHIBITION
The exhibition staged in the Gallerie of the Museo Diocesano, in Padua, from 20th January 2018 to 24th June 2018.
A TRAVELLING EXHIBITION
The exhibition has always been thought as travelling, so as to disseminate as much as possible the message of the entire project. Thus, as it has already happened for the previous editions, after the stopover in Padua, the 9th edition of the exhibition will be displayed in other locations as well, until the opening of the following edition (January 2020).
International exhibition of illustrations “The Colours of the Sacred”
info@icoloridelsacro.org
www.icoloridelsacro.org
www.museodiocesanopadova.it
=====
ขอบคุณ คุณณดี ขจรน้ำทรง (Nedine Kachornnamsong) คุณ Ilaria Nardone และพี่จูน June Osti ที่ช่วยให้ข้อมูลเรื่องคำแปลชื่อการแสดงการโจมตีของขนมปังค่ะ และขอขอบคุณน้องอ้อ ณวรา หิรัญกาญจน์ ที่ช่วยตรวจทานคำสะกดและดูภาพรวมของบล็อกนะคะ : )
Many beautiful photos on this blog were kindly sent to me by Vania Trolese, one of the selection committee and exhibition officer of Diocesano Museum. Thank you so much! ❤
*** : ) ***